วันพุธที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2559
วันพุธที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2559
แบบฝึกหัด เรื่องคำซ้อน
คำสั่ง ให้นักเรียนเลือกคำตอบที่ถูกที่สุดเพียงข้อเดียว
๑. คำที่มีเสียงและความหมายใกล้เคียงกัน เมื่อนำคำมารวมกันทำให้ความหมายของคำชัดเจนยิ่งขึ้น เป็นคำชนิดใด
ก. คำมูล ข. คำซ้ำ ค. คำซ้อน ง. คำสมาส
๒. คำซ้อนในตัวเลือกใด ต่างไปจากตัวเลือกอื่นๆ
ก. หนักเบา ข. สวยงาม ค. ถ้วยชาม ง. บ้านเรือน
๓. ข้อใดมีคำซ้อนเพื่อความหมายทุกคำ
ก. ขัดข้อง ขัดแย้ง หยาบคาย ข. กักขัง เงอะงะ โคลนตม
ค. สูญหาย อาจหาญ หลุกหลิก ง. จัดจ้าน มอมแมม ชั่วช้า
๔. ข้อใดไม่ใช่ลักษณะของคำซ้อน
ค. สูญหาย อาจหาญ หลุกหลิก ง. จัดจ้าน มอมแมม ชั่วช้า
๔. ข้อใดไม่ใช่ลักษณะของคำซ้อน
ก. คำซ้อนเป็นคำประสมชนิดหนึ่ง
ข. เราซ้อนคำเพื่อให้เกิดความหมายใหม่
ค. คำซ้อนทำหน้าที่เป็นคำชนิดต่าง ๆ ได้
ง. คำที่นำมาซ้อนจะต้องเป็นคำไทยซ้อนกับคำไทยเท่านั้น
๕. ข้อใดเป็นคำซ้อนทุกคำ
๕. ข้อใดเป็นคำซ้อนทุกคำ
ก. ระแทะ ละเลย ข. โลเล ฟื้นฟู
ค. กระจง ขัดแย้ง ง. เพ่งเล็ง ดาวดับ
๖. ข้อใดเป็นคำซ้อนเพื่อความหมายทุกคำ
ก. บอกเล่า พลบค่ำ ข. รุ่งเช้า ตรวจตรา
ค. ขัดขวาง กว้างขวาง ง. รอคอย เรียบร้อย
๗. ข้อใดเป็นคำซ้อนเพื่อเสียงทุกคำ
ก. ขึ้งโกรธ บิดพลิ้ว ข. เยอะแยะ ข่มเหง
ค. วุ้ยว้าย ลักลั่น ง. คัดเลือก บุกรุก
๘. ข้อใดเป็นคำซ้อนที่ไม่มีความหมายของคำกว้างกว่าคำเดิม
ก. ข้าวปลา ข. พี่น้อง ค. เสื้อผ้า ง. เดียวดาย
๙. คำซ้อนในข้อใดเกิดจากการนำคำมาจากภาษาไทยรวมกับบาลีสันสกฤต
ก. ซื่อสัตย์ ข. แบบฟอร์ม
ค. เรือแพ ง. เสด็จประพาส
๑๐. คำซ้อนในข้อใดเกิดจากการนำคำนามมารวมกับคำนาม
ก. สั่งสอน อดทน ข. ร่างกาย ใกล้ชิด
ค. ลูกหลาน น้าอา ง. เข้มงวด ชมเชย
วันพุธที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2559
ชนิดของคำซ้อน
ในการนำคำมูลมาซ้อนกัน มักจะใช้คำมูล ๒ คำ และถ้าจะนำคำมูลมาซ้อนกันมากกว่า ๒ คำ จะใช้คำมูลมาซ้อนเป็นเลขคู่ เช่น คำมูล ๔ คำ หรือคำมูล ๖ คำ เช่น
คำมูล ๒ คำ ได้แก่ ฟ้าฝน หน้าตา ข้าวปลา
คำมูล ๔ คำ ได้แก่ ต้อนรับขับสู้ ยากดีมีจน กู้หนี้ยืมสิน
คำมูล ๖ คำ ได้แก่ ชั่วเจ็ดทีดีเจ็ดหน คดในข้องงอในกระดูก
คำซ้อนที่เกิดจากหลักการสร้างทั้ง ๓ วิธี ทำให้เกิดคำซ้อนขึ้นใช้มากมาย เมื่อจำแนกชนิดของคำซ้อน สามารถแยกได้ ๒ ชนิด คือ
คำซ้อนเพื่อความหมาย เป็นการนำคำมูลมาซ้อนกัน โดยมีความหมายในทำนองเดียวกันหรือมีความหมายตรงกันข้ามมารวมกัน
ความหมายทำนองเดียวกัน เช่น กักขัง ปกป้อง คัดเลือก จืดชืด ซักฟอก เดือดร้อน ทิ้งขว้าง บุกรุก ปิดบัง ปกครอง เพ่งเล็ง เลือกเฟ้น สดชื่น
ความหมายตรงกันข้าม เช่น ถูกผิด หนักเบา ยากง่าย เร็วช้า ชั่วดี บาปบุญ ดีร้าย เปรี้ยวหวาน สูงต่ำ ดำขาวเท็จจริง สูงต่ำดำขาว ชั่วดีถี่ห่าง ศึกเหนือเสือใต้
คำซ้อนเพื่อเสียง เกิดจากการนำพยางค์สองพยางค์ที่มีเสียงพยัญชนะต้นอย่างเดียวกัน หรือตัวเดียวกัน ส่วนเสียงสระหรือตัวสะกดอาจจะต่างกันก็ได้ เช่น
๑. คำซ้อนเพื่อเสียง เกิดจากพยางค์สองพยางค์ที่มีเสียงพยัญชนะเหมือนกันหรือตัวเดียวกัน ได้แก่ เกะกะ ขรุขระ คู่คี่ เงอะงะ ซู่ซ่า
๒. คำซ้อนเพื่อเสียง เกิดจากพยางค์สองพยางค์ที่มีเสียงพยัญชนะต้นและตัวสะกดเหมือนกัน แต่มีเสียงสระต่างกัน ได้แก่ เก้งก้าง ขลุกขลิก คึกคัก จริงจัง
ใครเป็นแบบนี้บ้าง งั้นเรามาฟังเพลงแก้เครียดดีกว่านะคะ
ลักษณะของคำซ้อนในภาษาไทย
๑. คำไทยกลางซ้อนกับคำไทยกลาง เช่น
หัวหู แข้งขา เก้อเขิน แก้ไข ใหญ่โต หน้าตา บ้านเรือน ดินฟ้า เป็ดไก่ โต้แย้ง
ทักท้วง ชุกชุม
๒. คำไทยกลางซ้อนกับคำไทยถิ่น เช่น
พัดวี – วี ภาษาถิ่นใต้ หมายถึง พัด
เสื่อสาด – สาด ภาษาถิ่นใต้ หมายถึง เสื่อ
อ้วนพี – พี ภาษาถิ่นใต้ หมายถึง อ้วน
เข็ดหลาบ – หลาบ ภาษาถิ่นใต้ หมายถึง เข็ด
เติบโต – เติบ ภาษาถิ่นใต้ หมายถึง โต
อิดโรย – อิด ภาษาถิ่นเหนือ หมายถึง เหนื่อย
ละทิ้ง – ละ ภาษาถิ่นเหนือ หมายถึง ทิ้ง
เก็บหอม – หอม ภาษาถิ่นเหนือ หมายถึง ออม
บาดแผล – บาด ภาษาถิ่นอีสาน หมายถึง แผล
ยุ่งยาก – ยาก ภาษาถิ่นอีสาน หมายถึง ยุ่ง
๓. คำไทยกลางซ้อนกับคำต่างประเทศ เช่น
ข้าทาส – ทาส ภาษาบาลี – สันสฤต
จิตใจ – จิต ภาษาบาลี
ทรัพย์สิน – ทรัพย์ ภาษาสันสฤต
โง่เขลา – เขลา ภาษาเขมร
แบบแปลน – แปลน ภาษาอังกฤษ – plan
๔. คำต่างประเทศซ้อนกับคำต่างประเทศ เช่น
สรงสนาน – สรง ภาษาเขมร
สนาน – ภาษาสันสฤต
ทรัพย์สมบัติ – ทรัพย์ ภาษาสันสฤต
สมบัติ – ภาษาบาลี
เหตุการณ์ – เหตุ , การณ์ ภาษาบาลี
รูปทรง – รูป ภาษาบาลี
ทรง – ภาษาเขมร
อิทธิฤทธิ์ – อิทธิ ภาษาบาลี
ฤทธิ์ – ภาษาสันสฤต
เลอเลิศ – เลอ , เลิศ ภาษาเขมร
เฉลิมฉลอง – เฉลิม , ฉลอง ภาษาเขมร
๕. คำซ้อนที่ซ้อนกัน ๒ คู่ จะปรากฏในลักษณะดังนี้
ก.มีสัมผัสที่คู่กลาง เช่น อุปถัมภ์ค้ำชู ล้มหายตายจาก ไฟไหม้ไต้ลน เจ็บไข้ได้ป่วย ยิ้มแย้มแจ่มใส เจ็บท้องข้องใจ เก็บหอมรอมริบ แลบลิ้นปลิ้นตา ว่านอนสอนง่าย กินเหล้าเมายา ขี้หดตดหาย ขนมนมเนย
ข.มีพยางค์หน้าซ้ำกัน เช่น ปากเปียกปากแฉะ ชั่วครู่ชั่วยาม ถึงพริกถึงขิง อาบน้ำอาบท่า กินข้าวกินปลา น้ำหูน้ำตา เป็นฟืนเป็นไฟ คุ้มดีคุ้มร้าย มีชื่อมีเสียง มิดีมิร้าย ความคิดความอ่าน หนักอกหนักใจ ไม่มากไม่น้อย

ลักษณะคำซ้อนดังที่กล่าวมานี้ จะสังเกตเห็นว่า
ข.มีพยางค์หน้าซ้ำกัน เช่น ปากเปียกปากแฉะ ชั่วครู่ชั่วยาม ถึงพริกถึงขิง อาบน้ำอาบท่า กินข้าวกินปลา น้ำหูน้ำตา เป็นฟืนเป็นไฟ คุ้มดีคุ้มร้าย มีชื่อมีเสียง มิดีมิร้าย ความคิดความอ่าน หนักอกหนักใจ ไม่มากไม่น้อย

ลักษณะคำซ้อนดังที่กล่าวมานี้ จะสังเกตเห็นว่า
๑.ถ้าคำหน้ามีพยางค์เดียว คำที่นำมาซ้อนจะใช้คำพยางค์เดียว ถ้าคำหน้า ๒ พยางค์ คำที่นำมาซ้อนจะใช้คำ ๒ พยางค์ด้วย ทั้งนี้เพื่อการถ่วงดุลทางเสียง
๒.คำที่นำมาซ้อนกันมักเป็นคำประเภทเดียวกันทั้งนี้เพราะช่วยขยายความหมายให้ชัดเจนขึ้นดังตัวอย่าง
คำนาม – คำนาม เช่น แข้งขา ม้าลา บ้านเรือน เรือดไร
คำกริยา – คำกริยา เช่น ดูดดื่ม เหลียวแล ร้องรำ กดขี่
คำวิเศษณ์ – คำวิเศษณ์ เช่น ขมขื่น ซื่อตรง ใหญ่โต เร็วไว
ลักษณะของความหมายที่เกิดจากคำซ้อน
เมื่อนำคำมาซ้อนกันแล้ว จะเกิดความหมายขึ้นในลักษณะต่าง ๆ ดังนี้
๑. ความหมายคงเดิม คือ ความหมายก็ยังคงที่ไม่เปลี่ยนแปลง เช่น ซากศพ อ้วนพี โต้แย้ง สูญหาย
๒. ความหมายกว้างออก คือ ความหมายจะกว้างกว่าความหมายในคำเดิม เช่น
ตับไตไส้พุง หมายถึง อวัยวะภายในอะไรก็ได้ ไม่ได้หมายเฉพาะอวัยวะ ๔ อย่างนี้เท่านั้น
ไฟไหม้ไต้ลน หมายถึง ร้อนอกร้อนใจ
หมูเห็ดเป็ดไก่ หมายถึง อาหารหลายชนิด
ถ้วยโถโอชาม หมายถึง ภาชนะที่ใช้ในครัว
กินข้าวกินปลา หมายถึง กินอาหาร
ปู่ยาตายาย หมายถึง บรรพบุรุษ
ขนมนมเนย หมายถึง อาหารประเภทของหวาน
๓. ความหมายย้ายที่ คือ ความหมายจะเป็นอย่างอื่นซึ่งไม่ตรงกับความหมายของคำเดิม เช่น
ขมขื่น หมายถึง ความรู้สึกเป็นทุกข์ มิได้หมายถึงรสขมและขื่น
เหลียวแล หมายถึง การเอาใจใส่เป็นธุระ
เดือดร้อน หมายถึง ความลำบากใจ
เบิกบาน หมายถึง ความรู้สึกร่าเริงแจ่มใส
ดูดดื่ม หมายถึง ความซาบซึ้ง
๔. ความหมายอยู่ที่คำหน้า เช่น เป็นลมเป็นแล้ง ขันหมากรากพลู ใต้ถุนรุนช่อง
อายุอานามความคิดความอ่าน มีชื่อมีเสียง ใจคอ ( ไม่ค่อยจะดี ) หัวหู ( ยิ่งเหยิง ) มิดีมิร้าย
อายุอานามความคิดความอ่าน มีชื่อมีเสียง ใจคอ ( ไม่ค่อยจะดี ) หัวหู ( ยิ่งเหยิง ) มิดีมิร้าย
๕.ความหมายอยู่ที่คำหลัง เช่น เสียอกเสียใจ ดีอกดีใจ ว่านอนสอนง่าย ตั้งเนื้อตั้งตัว เครื่องไม้เครื่องมือ หูตา ( มืดมัว )
๖. ความหมายอยู่ที่คำต้นและคำท้าย เช่น ผลหมากรากไม้ อดตาหลับขับตานอน ตกไร้ได้ยาก ติดสอยห้อยตาม เคราะห์หามยามร้าย
๗.ได้ความหมายทั้งสองคำ เช่น ดินฟ้าอากาศ เอวบางร่างน้อย ยศถาบรรดาศักดิ์ อำนาจวาสนา บุญญาบารมี
๘.ความหมายของคำคู่หน้ากับคู่หลังตรงกันข้าม เช่น หน้าไหว้หลังหลอก ปากหวานก้นเปรี้ยว หน้าเนื้อใจเสือ หน้าชื่นอกตรม ปากปราศรัยน้ำใจเชือดคอ ไม่มากไม่น้อย
๙.คำ ๆ เดียวกัน เมื่อนำคำต่างกันมาซ้อน จะทำให้ได้ความหมายต่าง ๆ กันออกไป เช่น
แน่น – แน่นหนา แน่นแฟ้น
กีด – กีดกัน กีดขวาง
หลอก – หลอกลวง หลอกล่อ หลอกหลอน
คม – คมคาย คมขำ คมสัน
แอบ – แอบอิง แอบอ้าง แอบแฝง
คำซ้อน ความหมาย

ความหมายของคำซ้อน
คำซ้อน คือ คำที่เกิดจากการเอาคำมูลที่มีความหมายเหมือนกัน หรือคล้ายคลึงหรือตรงกันข้าม เป็นประเภทเดียวกันตั้งแต่ ๒ คำขึ้นไป มาเรียงซ้อนกันเพื่อให้ความหมายชัดเจนขึ้น เช่น เสื่อสาด อ้วนพี ใหญ่โต
สาเหตุการเกิดและประโยชน์ของคำซ้อน
๑. คำไทย คำเดียวนั้นอาจมีความหมายได้หลายอย่าง หากพูดเพียงคำเดียวอาจทำให้เข้าใจความหมายผิดพลาดได้ จึงต้องซ้อนคำเพื่อบอกความหมายให้ชัดเจน เช่น
ตา ( อวัยวะ ) ใช้ซ้อนกับ นัยน์ เป็น นัยน์ตา
ขับ ( ไล่ ) ใช้ซ้อนกับ ไล่ เป็น ขับไล่
ขับ ( ร้องเพลง ) ใช้ซ้อนกับ กล่อม เป็น ขับกล่อม
ขัด ( ทำให้สะอาด) ใช้ซ้อนกับ ถู เป็น ขัดถู
ขัด ( ไม่สะดวก ) ใช้ซ้อนกับ ขวาง เป็น ขัดขวาง
๒. คำไทยมีคำพ้องเสียงมาก ถ้าพูดเพียงคำก็ยากที่จะเข้าใจความหมายได้ จึงต้องใช้คำที่มีความหมายเหมือนกัน หรือคล้ายคลึงเป็นประเภทเดียวกันมาซ้อนไว้ เพื่อบอกความหมายให้ชัดเจน เช่น
ค่า ใช้ซ้อนกับ งวด เป็น ค่างวด
ฆ่า ใช้ซ้อนกับ ฟัน เป็น ฆ่าฟัน
ข้า ใช้ซ้อนกับ ทาส เป็น ข้าทาส
มั่น ใช้ซ้อนกับ คง เป็น มั่นคง
หมั้น ใช้ซ้อนกับ หมาย เป็น หมั้นหมาย
๓. ภาษาไทยเป็นภาษามีวรรณยุกต์ คำไทยที่มีสระและพยัญชนะเดียวกัน ถ้าเสียงวรรณยุกต์ต่างกันเพียงเล็กน้อย ความหมายของคำก็จะแตกต่างกันไปด้วย ถ้าฟังผิดเพี้ยนไป หรือฟังไม่ถนัด ก็จะทำให้เข้าใจความหมายผิดพลาดได้ ดั้งนั้น จึงต้องมีการซ้อนคำขึ้น เพื่อกำกับความหมายให้ชัดเจน เช่น
เสือ ใช้ซ้อนกับ สาง เป็น เสือสาง
เสื่อ ใช้ซ้อนกับ สาด เป็น เสื่อสาด
เสื้อ ใช้ซ้อนกับ ผ้า เป็น เสื้อผ้า
คำ ใช้ซ้อนกับ ถ้อย เป็น ถ้อยคำ
ค่ำ ใช้ซ้อนกับ คืน เป็น ค่ำคืน
ค้ำ ใช้ซ้อนกับ จุน เป็น ค้ำจุน
ขำ ใช้ซ้อนกับ ขัน เป็น ขำขัน
๔. คำไทยส่วนมากเป็นคำพยางค์เดียว เวลาพูดอาจฟังไม่ทัน หรือฟังไม่ถนัด ก็จะทำให้เข้าใจความหมายผิดพลาดได้ เราจึงซ้อนคำขึ้นเพื่อบอกความหมายได้ชัดเจน เช่น
ปัด ใช้ซ้อนกับ กวาด เป็น ปัดกวาด
ขัด ใช้ซ้อนกับ ขวาง เป็น ขัดขวาง
เช็ด ใช้ซ้อนกับ ถู เป็น เช็ดถู
อบ ใช้ซ้อนกับ รม เป็น อบรม
คับ ใช้ซ้อนกับ แคบ เป็น คับแคบ
๕. ภาษาไทยเรามีคำที่มาจากภาษาต่างประเทศปะปนอยู่มาก ระยะแรกๆ ก็ยังไม่เป็นที่เข้าใจความหมายของคำกันอย่างแพร่หลาย จึงต้องนำคำไทยที่มีความหมายเหมือนกัน หรือคล้ายคลึงเป็นประเภทเดียวกันมาเรียงซ้อนไว้เพื่อขยายความหมายให้ชัดเจน เช่น
ทรัพย์ ใช้ซ้อนกับ สิน เป็น ทรัพย์สิน
ซาก ใช้ซ้อนกับ ศพ เป็น ซากศพ
เขียว ใช้ซ้อนกับ ขจี เป็น เขียวขจี
รูป ใช้ซ้อนกับ ร่าง เป็น รูปร่าง
แนะนำตนเอง
สวัสดีค่ะชื่อ จิราพร อาจดวงดี นะคะ


คณะครุศาสตร์ ชั้นปี่ที่ 4 มหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม
บล็อกนี้จัดทำจัดเพื่อแลกเปลี่ยนความรู้เกี่ยวกับภาษาไทย
คนไหนที่คิดว่าภาษาไทยเป็นเป็นเรื่องยากและน่าเบื่อ
บล็อกนี้จะทำให้คุณเข้าใจภาษาไทยได้ง่ายขึ้นค่า
ดังนั้นเรามาเริ่มในเรื่องของคำซ้อนกันก่อนเลยค่ะ
บล็อกนี้จะทำให้คุณเข้าใจภาษาไทยได้ง่ายขึ้นค่า
ดังนั้นเรามาเริ่มในเรื่องของคำซ้อนกันก่อนเลยค่ะ

สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)